กว่าจะเป็นคริสเตียโน่ โรนัลโด้ บุรุษผู้ต่อกรกับมนุษย์ต่างดาว Part 1


ในช่วง 10-15 ปี หลังมานี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ชายที่ขับเคี่ยวชิงดี ชิงเด่นทั้งในและนอกสนามกับ ลีโอเนล เมสซี่ ดาวเตะต่างดาวแห่งบาร์เซโลน่า มันคือยุคที่เป็นการปะทะกันของ พรแสวง vs พรสวรรค์

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มีชื่อเสียงในเรื่องของการฝึกซ้อม ความขยัน ความมีระเบียบวินัย แม้กระทั่งเวลานอน เวลาในการกินที่เรียกว่า เป๊ะทุกระเบียบนิ้ว เรียกว่ากว่าจะมีร่างกายที่แข็งแกร่ง มีร่างกายที่เปรียบเสมือนอายุ 25–26 ในวัย 35 ปี แบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อาจจะเป็นนรกสำหรับใครหลาย ๆ คน

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เริ่มเป็นที่รู้จักหลังจากถูก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดึงเข้ามาเมื่อปี 2003 เพื่อใส่หมายเลข 7 แทนขวัญใจมหาชนอย่าง เดวิด เบ็คแฮม พร้อมกับคำถามที่ว่า “ไอ้เด็กนี่คือใคร ?”

เหมือนจะดี แต่ล้มเหลว

เกมแรกของ “โด้จิ๋ว” คือลงมาเป็นตัวสำรองในการเจอกับ โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส เขาลงมาพร้อมกับความแปลกตา ทั้งลีลา ท่าทาง สไตล์การเล่น ที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ และโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นไม่น้อย ก่อนจะค่อย ๆ ยึดตำแหน่งตัวจริงของทีมในที่สุด

คริสเตียโน่ สับ สับ สับ และก็สับ เขาโชว์สกิลการสับขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเลี้ยงบอลแหวกคู่แข่ง เขาโชว์ลีลาลากเลื้อยเข้าเขตโทษ เขาพยายามที่จะทำเกม พยายามที่จะเปิดบอล และพยายามที่จะยิงประตู แต่ปัญหาคือ มันไม่ค่อยประสบความสำเร็จ

ฤดูกาลแรกของเขากับปิศาจแดง โรนัลโด้สามารถพาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้ทันทีแต่ผลงานในลีกไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็นและลงสนามรวมทุกรายการ 40 นัด ยิง 6 ประตู แอสซิสต์ 9 ครั้ง

CR 7 กับ รุด ฟานนิสเตลรอย ช่วยกันคว้าถ้วย FA CUP

ฤดูกาลต่อเขาเริ่มถูกแฟนบอลเริ่มโจมตีสไตล์การเล่นที่ดูเห็นแก่ตัว พยายามโชว์มากเกินไป แถมการเปิดบอลที่ไม่ค่อยจะเข้าเป้า หรือการพยายามยิงมากกว่าจ่ายทั้งที่เล่นในตำแหน่งปีก และเป็นปีที่คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และแมนฯ ยูไนเต็ด ล้มเหลวจากการที่ไม่ได้ถ้วยอะไรติดไม้ติดมือ แถมฟอร์มในลีกยิ่งย่ำแย่ ตกรอบ ยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีกส์ อีกต่างหาก แม้เจ้าตัวจะยิงไป 9 ประตู 10 แอสซิสต์จากการลงสนาม 50 นัด

ในฤดูกาล 2005/2006 เป็นอีกปีที่มีปัญหามากมาย แม้ฟอร์มการเล่นจะดีขึ้น แต่ก็ยังไม่สุด โรนัลโด้ ยังคงเป็นไอ้ขี้เลี้ยงของแฟนบอล แถมมีปัญหากับดาวยิงหมายเลข 1 ของทีมอย่าง รุด ฟาน นิสเตลรอย จนถึงขั้นที่รายหลังต้องเก็บข้าวของออกจากทีมไป แต่ทั้งนี้เจ้าตัวก็เริ่มโชว์ลีลาได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะมีการสับพร่ำเพรื่ออยู่บ้าง แต่ก็ช่วยให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ คาร์ลิ่ง คัพ มาครอบครองได้สำเร็จ พร้อมสถิติ ลงสนาม 47 นัด ยิง 12 ประตู 9 แอสซิสต์

ทำแสบใส่อังกฤษในบอลโลก 2006

จุดเปลี่ยนที่เกือบแตกหัก

ก่อนอื่นต้องยอมรับก่อนเลยว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ นั้นเป็นนักเตะที่ถูกยี้ ที่สุดคนหนึ่งของวงการฟุตบอลอังกฤษ ทั้งหน้าตาที่ดูกวน ๆ ลีลาที่ชอบยั่วยวนคู่แข่ง หรือการถูกตราหน้าว่าเป็น “cheater” หรือจอมพุ่งล้มแห่งวงการ ไปสนามไหนก็จะได้รับเสียงต้อนรับอย่างท่วมท้น และเมื่อฟุตบอลโลก 2006 มาถึง แน่นอนว่าเขาถูกทีมชาติโปรตุเกสเรียกตัวไปติดทีมกับเขาด้วย แถมยังเป็นตัวหลักเคียงข้างกับหลุยส์ ฟิโก้ อีกต่างหาก

แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่เขาต้องโคจรมาเจอกับพลพรรคสิงโตคำราม ประเทศที่เขาค้าแข้งอยู่ แต่ด้วยความรักชาติ โรนัลโด้เองก็ต่อสู้ในสนามอย่างเต็มที่ จนถึงช็อตที่เป็นจุดเปลี่ยนของเกม เมื่อ เวย์น รูนี่ย์ บรรจงวางสตั๊ดลงบนกล่องดวงใจของ ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ และเป็นโรนัลโด้ นี่แหละที่รีบปรี่เข้าหากรรมการด้วยท่าทีที่ว่า “เฮ้ยจารย์ ไอ้นี่มันเหยียบของเพื่อนผม” และก็มีการปะทะคารมกันเล็กน้อยกับเพื่อนรัก ก่อนที่รูนี่ย์จถูกไล่ออก และภาพจับมาเห้นจังหวะที่ โรนัลโด้ กำลังขยิบตาให้กับซุ้มม้านั่งพอดี และเป็นอังกฤษที่ตกรอบไปจากการดวลจุดโทษ

หลังจบฟุตบอลโลก มีความหนาหูมาว่า แคมป์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แตกเป็นเสี่ยง ๆ สองดาวรุ่งแห่งยุค ซึ่งเป็นตัวความหวังของทีมแตกหักกันไม่มีชิ้นดี จอมสับโปรตุเกส เตรียมย้ายสู่ เรอัล มาดริด แต่เป็น เซอร์อเล็ก เฟอร์กุสัน ที่ขวางลำ และจัดการปัญหาทุกอย่างเสร็จสรรพด้วยความที่เขาคือ เซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน และปัญหาทุกอย่างก็ถูกเคลียร์อย่างง่ายดาย และกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ โรนัลโด้ และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด…

Share on facebook
Facebook
Share on twitter
Twitter
Share on whatsapp
WhatsApp
Share on email
Email

บทความที่เกี่ยวข้อง